วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

จันทนาใบเล็ก


จันทนาใบเล็ก
ชื่อพื้นเมือง เข็มป่า (นราธิวาส) ยาโรง (มลายู-นราธิวาส)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tarenna wallichii
ชื่อวงศ์ RUBIACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้พุ่ม สูง 2-5 เมตร กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยมสี่มุม มีขนสั้น เมื่อแห้งสีน้ำตาล
แดง
ใบ เดี่ยว เรียงตรงข้ามกัน แผ่นใบรูปรีแกมรูปขอบขนาน ยาว 6-15 ซม. กว้าง
3-7 ซม. ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ใบแห้งด้านบนสีน้ำตาลคล้ำแกมเขียว
ด้านล่างสีน้ำตาลแดง ปลายเป็นติ่งแหลมถึงเรียวแหลม โคนใบสอบ เส้น
แขนงใบ 8-10 คู่ ก้านใบยาว 1-2 ซม. หูใบรูปสมเหลี่ยมฐานแคบ ปลาย
เรียวแหลม ยาว 0.5-1 ซม.
ดอก 5 กลีบ สีขาวนวล โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นกรวย ออกเป็นช่อกระจะแยก
แขนงตามปลายกิ่ง ยาว 3-4 ซม.
ผล แก่สีแดง รูปกลมรี เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-8 มม. มี 1-2 เมล็ด
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ขึ้นในที่ลุ่มตายชายน้ำและขอบพรุ มีเขตการกระจายพันธุ์ทางภาคใต้ของ
ประเทศไทยในต่างประเทศพบที่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออกดอก ระหว่าง
เดือนเกือบตลอดปี

จุกโรหินี



จุกโรหินี
ชื่อพื้นเมือง โกฐพุงปลา (กลาง) กล้วยไม้ (เหนือ) เถาพุงปลา (ระนอง ตะวันออก) นม
ตำไร (เขมร) บวบลม (นครราศรีมา อุบลราชธานี)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dischidia rafflesiana
ชื่อวงศ์ ASCLEPIADACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้เถาเลื้อยเกาะพันต้นไม้อื่น มีรากตามลำต้น ส่วนต่างๆ ของเถามียางสี
ขาวเหมือนน้ำนม
ใบ เดี่ยว เรียงตรงข้ามกัน แผ่นใบหนา อวบน้ำ รูปค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์
กลาง 1-2 ซม. ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน เนื่องจากถูกมดเจาะเข้าอาศัย ทำให้มี
ลักษณะโป่งเป็น ถุง ยาว 5-10 ซม. กว้าง 3-5 ซม. ก้านใบสั้น
ดอก ดอกเล็ก รูปโคม สีเขียวแกมเหลือง ออกเป็นกระจุกหรือเป็นช่อสั้นๆ ตาม
ง่ามใบ
ผล ฝักเรียว ยาว 5-7.5 ซม. กว้าง 3-5 มม. เมล็ดเล็ก แบน มีขนเป็นพู่ที่ปลาย
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ขึ้นในป่าทั่วๆ ไป มีเขตการกระจายพันธุ์ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ใน
ต่างประเทศพบที่ ลาว เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ออกดอก
ระหว่าง เดือน มีนาคม- พฤษภาคม

จั๋งไทย

จั๋งไทย
ชื่ออื่นๆ จั๋งใต้
ชื่อวิทยาศาสตร์ Rhapis subtilis
ชื่อวงศ์ PALMAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นปาล์มแตกกอ คล้ายคลึงกับจั๋งจีน
ลำต้น มีขนาดเล็กกว่าจั๋งจีน คือ 1-2 เซนติเมตร และสูงเพียง 2 เมตร ถ้าต้นเล็กและสูงมากขึ้นแล้วลำต้นจะทอดเอียง มีแผ่นใยบางๆคลุมลำต้นสีน้ำตาล ขนาดของลำต้น ใบ และจำนวนใบย่อยมีความหลากหลาย
ใบ แผ่นใบเล็กและมีจักใบย่อยเพียง 6-12 ใบ จักเว้าลึกถึงสะดือ
ดอก -
ผล -
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
พื้นที่ที่พบ มีถิ่นกำเนิดในภาคใต้ของไทย, มาเลเซีย

ไกรทอง

ไกรทอง

ชื่อพื้นเมือง แก่นแดง เข็ดมูล เจตมูล (ปจ) ต๋านฮ้วนเป็ด (ชม) พิกุลทอง (ปข)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Erythroxylum cumeatum ( Miq.)
ชื่อวงศ์ ERYTHROXYLACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้พุ่มถึงไม้ยืนต้นขนดใหญ่ สูงถึง 8-40 เมตร
ใบ เดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่กลับ รูปรี หรือรูปขอบขนาน กว้าง 2-3 ซม. ยาว 5-11
ซม. มีหูใบ
ดอก ดอกช่อ ออกเป็นกระจุกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว เขียวอ่อนหรือเขียวแกม
เหลือง
ผล
ผลสด รูปไข่แกมรูปขอบขนาน เมื่อสุกสีแดงสด
ลักษณะทางนิเวศวิทยา

ทุ้งฟ้า

ทุ้งฟ้า
ชื่อพื้นเมือง กระทุ้งฟ้า พวมพร้าว (ใต้ ปัตตานี) ทุ้งฟ้าไก่ (ชุมพร) ตีนเทียน (สงขลา)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Alstonia macrophylla
ชื่อวงศ์ APOCYNACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 15-25 เมตร ไม่ผลัด
ใบ ลำต้นเปลา ตรงกิ่งใหญ่ฉากกับลำต้นเป็นวงรอบ เรือนยอดรูปไข่แกม
รูปกรวยแหลม ค่อนข้างโปร่ง เปลือกสีขาวอมเทา มีรูระบายอากาศทั่วไป
เรียบ สับดูจะมียางสี ขาวเหนียวๆ ซึมออกม
า โคนต้นเป็นพูพอน
ใบ ใบเดี่ยว รูปไข่แกมรูปหอกกลับ เรียงเวียนกันเป็นวงกลมตามปลาบๆ กิ่ง
ท้องใบเป็นคราบสีขาว หลังใบสีเขียว เส้นแขนงใบถี่และเป็นเส้นตรง
ดอก สีขาวออกเป็นช่อ ตามง่ามใบ ตอนปลายๆ กิ่ง
ผล เป็นฝัก เรียวยาว มีเป็นคู่ๆ พอแก่จะแตกและบิดเป็นเกลียว ปล่อยให้เมล็ด
ที่มีพู่สีขาวปลิวไปตามลม
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ขึ้นประปรายอยู่ในป่าดงดิบ และบนพื้นที่ป่าที่เคยถูกแผ้วถางมาก่อน ทาง
ภาคใต้

หลุมพี

หลุมพี
ชื่ออื่นๆ -
ชื่อวิทยาศาสตร์ Eleiodoxa conferta
ชื่อวงศ์ PALMAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ป็นปาล์มแตกกอขึ้นแช่น้ำในป่าพรุ
ใบ ใบแบบขนนก ทางใบยาว 3-6 เมตร กาบใบและก้านใบมีหนามยาวแหลมเรียงเป็นแผง
ดอก ช่อดอกสีน้ำตาล ออกระหว่างกาบใบ ยาว 1 เมตร

ผล ผลรูปไข่กลับ กว้าง 2.5 เซนติเมตร ผลแก่สีน้ำตาล เปลือกเป็นเกล็ดเล็กๆเรียงเกยซ้อนกัน
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
พื้นที่ที่พบ มีถิ่นกำเนิดในไทย มาเลเซีย

ชมพูน้ำ

ชมพู่น้ำ

ชื่อพื้นเมือง ชมพู่ค่าง ( ตรัง ) หว้าปลอก ( นครราชศรีมา )
ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium siamensis Craib
ชื่อวงศ์ MYRTACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ต้น สูงถึง 15 ม. เปลือกเรียบ บางครั้งแตกเป็นสะเก็ด สีน้ำตาลอ่อน
หรือน้ำ ตาลแดง
ใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม แผ่นใบรูปใบหอก หรือรูปใบหอกแกมขอบขนาน
กว้าง2.7 - 8 ซม. ยาว 9 - 27 ซม. ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม โคนใบมน
เว้าเข้าเป็นรูป หัวใจ หรือบางครั้งสอบแคบเป็นรูปลิ่ม เส้นแขนงใบ 7 - 14
คู่ ก้านใบยาว 0.3 - 0.8 ซม. .
ดอก ดอกสีแดงแกมม่วง ออกเป็นช่อกระจะที่ปลายกิ่งหรือง่ามใบ
ผล ผลกลม หรือรูปไข่ สีเขียว ถึงสีม่วง ปลายผลเป็นกลีบ ซึ่งพัฒนามาจากกลีบ
เลี้ยง
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
กระจายพันธุ์ตามริมห้วย ในป่าดิบแล้งในป่าดิบแล้ง ทางภาคเหนือ ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาค ตะวันออกเฉียงใต้ ที่ความสูงจากน้ำทะเล
ปาน กลาง 50 - 200 ม.

ฝาด

ฝาด ชื่อพื้นเมือง หว้าหิน (นราธิวาส)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Eugenia muelleri
ชื่อวงศ์ MYRTACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ยืนต้น สูง 154-30 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทรงสูง ถึงค่อนข้างกลม
ลำต้นเป็นร่องหรือเป็นพูแคบๆ บางครั้งมีรากค้ำยัน เปลือกสีน้ำตาลอ่อน
แกมเขียวนวล ถึงเทาอ่อน เรียบหรือแตกเป็นร่องและเป็นสะเก็ด เปลือกชั้น
ในสีน้ำตาลแกมชมพู ยอดอ่อนและใบอ่อนสีม่วงคล้ำ
ใบ เดี่ยว เรียงตรงข้ามกัน แผ่นใบหนารูปรีแกมสีเหลี่ยมขนมเปียกปูน ถึงรูป
ไข่กลับ ยาว 5-10 ซม. กว้าง 3-5 ซม. ใบแห้งสีน้ำตาลแกมเขียว ผิวใบ
เกลี้ยง ปลายใบทู่ถึงมนกลม โคนใบสอบและเรียวแคบไปตามก้านใบ เส้น
แขนงใบบาง 7-14 คู่ ปรากฏชัดทั้งสองด้านของแผ่นใบ ปลายเส้นจรดกัน
ห่างจากขอบใบ 2-3 มม.
ดอก ขาว เล็ก ออกเป็นช่อบานกระจะตามง่ามใบและปลาบกิ่ง ยาว 3-5 ซม.
ผล ผลแก่สีเขียว ม่วง ม่วงคล้ำถึงดำ ยาว 2.5-3 ซม.
กว้าง 2-2.5 ซม. เป็นสัน
นูนโดยรอบ มี 1 เมล็ด
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ขึ้นในที่ลุ่มตามชายน้ำลำธารและป่าพรุ มีเขตการกระจายพันธุ์ทางภาคใต้
ของประเทศไทย ในต่างประเทศพบที่มาเลเซีย อินโดนีเซีย ออกดอก
ระหว่างเดือน พฤษภาคม-สิงหาคม

มะฮัง



มะฮัง

ชื่อพื้นเมือง -
ชื่อวิทยาศาสตร์ Macaranga griffithiana
ชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้พุ่มถึงไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง 3-5 เมตร เรือนยอดแผ่กว้างคล้ายร่ม
เปลือก มีเส้นใยเหนียว
ใบ เดี่ยว เรียงเวียนสลับ แผ่นใบรูปฝ่ามือก้นปิด ปลายหยัก 3 แฉก ลึกเข้าม
ประมาณครึ่งหนึ่งของแผ่นใบ ปลายเรียวแหลม ฐานใบกลม กว้างยาว 14-
20 ซม. ด้านบนสีขาวนวล เกลี้ยงหรือมีขนสั้นๆ ประปรายตามเส้นใบ
ด้านล่างสีอ่อนกว่า มีขนสั้นอ่อนนุ่มสีน้ำตาลอ่อนปกคลุมหนาแน่น เส้น
ใบ 3-5 เส้น แยกออกจากจุดเดียว กันตรงรอยต่อกับก้านใบ ก้านใบยาว
10-15 ซม. หูใบรูปไข่ฐานกว้าง หลุดร่วงง่ายมาก
ดอก ดอกเล็ก สีเขียวอ่อน ออกเป็นช่อแยกแขนงตามง่ามใบและกิ่งที่ใบร่วง
หล่นไปแล้ว ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่ต่างต้นกัน ช่อดอกตัวเมียสั้นกว่า
ช่อดอกตัวผู้ประมาณ 3 เท่า
ผล กลมแป้น มี 4 พู เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม. มียางเหนียว เมื่อ
แก่แตกออกเป็น 4 ซีก เมล็ดกลม
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
เป็นไม้เบิกนำที่ขอบขึ้นตามขอบพรุในพื้นที่น้ำขังชั่วคราว มีเขตการ
กระจายพันธุ์ทางภาคใต้ของประเทศไทย ในต่างประเทศพบที่ พม่าตอน
ใต้ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ออกดอกระหว่างเดือน พฤษภาคม-
สิงหาคม

ส้าน

ส้าน

ชื่อพื้นเมือง ส้านหิ่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dillenia obovata (BL.) Hoogi.
ชื่อวงศ์ DILLENIACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้ขนาดเล็กไม่ผลัดใบ สูงถึง 14 เมตร ลำต้นสั้น กิ่งก้านดูแคระแกน
ใบ 20-35 x 10-20 ซม. รูปไข่กลับ ปลายป้าน ฐานใบไม่สมมาตร เส้นใบข้าง 30-
40 คู่ ก้านใบ 3-6 ซม.
ดอก 10-12 ซม. สีเหลืองสด ดอกเดี่ยวหรือออกดอกเป็นคู่ในซอกใบ ขอบกิ่งข้างมี
สัน ก้านดอก 5-12 ซม.
ผล 3-4 ซม. สีเหลืองอมส้ม
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
พบประปรายในป่ากิ่งโล่งแจ้ง มักจะขึ้นปนกับไม้สน พบจากเชียงใหม่ลง

สาคู

สาคู
ชื่ออื่นๆ Sago palm
ชื่อวิทยาศาสตร์ Metroxylon sagu
ชื่อวงศ์ PALMAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นปาล์มแตกหน่อ ขึ้นในที่ลุ่มน้ำขัง
ลำต้น ขนาด 30-40 เซนติเมตร สูงได้ถึง 20 เมตร
ใบ ใบแบบขนนก ทางใบยาว 4-5 เมตร
ดอก ช่อดอกออกที่ปลายยอด ช่อแผ่กระจายรูปสามเหลี่ยมสูง 3-4 เมตร ออกดอกครั้งเดียวแล้วต้นตาย
ผล ผลกลม ขนาด 4 เซนติเมตร เปลือกผลเป็นเกล็ดเรียงเกยซ้อนกัน ผลแก่สีน้ำตาลแกมเหลือง
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
พื้นที่ที่พบ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ราม




ราม

ชื่อพื้นเมือง ปือนา (มลายู-นราธิวาส)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ardisia lanceolata
ชื่อวงศ์ MYRSINACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้พุ่มถึงไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง 3-8 เมตร แตกกิ่งชั้นเดียว โคนกิ่งส่วน
ที่ติดกับลำต้นนูนเด่นเป็นรูปสามเหลี่ยม
ใบ เดี่ยว เรียงเวียนสลับ แผ่นใบรูปหอก รูปรีแกมรูปขอบขนาน ถึงรูปหอก
แกมรูปไข่กลับยาว 15-25 ซม. กว้าง 6-8.5 ซม. ผิวใบเกลี้ยง มีจุดสีเขียว
คล้ำทั่วไป ปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม โคนใบสอบแคบ เส้นแขนงใบ
บาง 12-15 คู่ ก้านใบยาว 1-1.5 ซม.
ดอก ดอกมักคว่ำ มี 5 กลีบ สีชมพู เกสรสีเหลือง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15
มม. ออกเป็นช่อแยกตามปลายกิ่ง ยาว 10-20 ซม.
ผล ผลแก่สีแดงคล้ำถึงดำ กลมเกลี้ยงลักษณะทางนิเวศวิทยา
ขึ้นในที่ลุ่มน้ำขังและป่าพรุ มีเขตการกระจายพันธุ์ทางภาคใต้ของประเทศ
ไทยในต่างประเทศพบที่ อินโดนีเซีย ออกดอกระหว่างเดือน มีนาคม-
กรกฎาคม

เม่าใข่ปลา


เม่าไข่ปลา

ชื่ออื่นๆ -
ชื่อวิทยาศาสตร์ Antidesma ghaesembilla Gaertn.
ชื่อวงศ์
EUPHORBIACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น
ใบ ใบขนาด 4-10 x 2-5 เซนติเมตร รูปไข่ ปลายป้านหรือมีติ่งที่ปลายทั้งสองด้าน ใบอ่อนสีชมพูมีขน ใบแก่สีเขียว ไม่มีขนหรือมีขนห่างๆ ด้านล่างและบนเส้นใบด้านบน เส้นใบข้างโค้ง 6-7 คู่ ก้านใบ 0.2-1.2 เซนติเมตร มีขนสีแดงขณะยังอ่อน
ดอก ดอกสีเขียวออกเหลือง มีกลิ่นเล็กน้อย เรียงห่างๆบนก้านชูที่ตั้งตรง มี 2-8 ช่อ ช่อยาว 3-10 เซนติเมตร ดอกย่อยไม่มีก้าน ชั้นกลีบเลี้ยงมี 4-5 พู หมอนรองดอกมีต่อม 4-5 ต่อม เกสรตัวผู้ 4-5 อัน รังไข่เป็นหมัน ดอกตัวเมีย 2-3 มิลลิเมตร ก้านดอก 0.5 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยง 0.9 มิลลิเมตร ปลายเกสรตัวเมีย 3-4 แฉก หมอนรองดอกรูปถ้วยมีขนยาว
ผล ผลขนาด 0.3-0.5 เซนติเมตร กลมหรือแบนเล็กน้อย มีขนปกคลุม ด้านบนมีติ่งเล็กๆ
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
พื้นที่ที่พบ พบทั่วไปในป่ากึ่งโล่งแจ้งและตามชายป่าดิบ

แอ๊ก


แอ๊ก
ชื่อพื้นเมือง กายูกุเบ กุเบ กูเบ ( นราธิวาส มาเลเซีย )
ชื่อวิทยาศาสตร์ Shorea hlauca
ชื่อวงศ์ DIPTEROCARPACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น พรรณไม้ยืนต้น ขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ สูง 10 - 20 เมตร ลำต้นเปลา
ตรง และมักบิดเล็กน้อย โคนเป็นพูต่ำๆ เรือนยอดเป็นพูกว้างๆ สีเหลือง
ทึบๆ เปลือกสีแดงอ่อนปนน้ำตาล มักแตกเป็นสะเก็ดห้อยย้อยลง มียางสี
เหลืองอ่อนซึมติดอยู่ กระพี้สีเหลืองอ่อน แยกจากแก่นเห็นได้ชัด กิ่งอ่อน
และหูใบเกลี้ยง
ใบ ใบรูปไข่ ขนาด 5 - 9 ซม. โคนมนหรือหยักเว้าเข้าเล็กน้อย บางทีเบี้ยว
ปลายหยัก คอดเป็นติ่งแหลม หลังใบแห้งสีแดงอ่อนปนน้ำตาล ท้องใบสี
เทา
ดอก ดอกสีขาว ออกเป็นช่อตามง่ามใบและปลาบกิ่ง ดอกอ่อนเส้นผ่าศูนย์กลาง
2 มม.
ผล ผลกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.4 ซม. มีปีกยาว 3 ปีก ปีกสั้น 2 ปีก
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ขึ้นเป็นหมู่ประปรายในป่าดงดิบเขา ตามชายทะเล และเกาะต่างๆ ทาง
ภาคใต้ตอนล่าง ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 100 - 400 เมตร

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หยี


หยี
ชื่อพื้นเมือง กาหยี้ ยี หยี ( ใต้ ) เขล็ง ( ภาคกลาง ) นางดำ ( นครราชศรีมา ) อีด่าง
หมากแดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dialium cochinense Pierre
ชื่อวงศ์ LEGUMINOSAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ สูงประมาณ 30 เมตร เรือนยอด
เป็นพุ่มกลม สีเขียวเข้ม เปลือกสีเทาอมน้ำตาล แตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ทั่วไป

ร่องลึก
ใบ ใบเป็นช่อ ยาว 5 - 12 ซม. ไม่มีขน มีใบย่อย 5 - 9 ใบ ออกเยื้องสลับกัน และ
มีใบ ย่อยที่ปลายแกนช่อ รูปไข่ป้อมถึงรูปมน กว้าง 1.5 - 4.5 ซม. ยาว 4 – 8
ซม. ปลาย เรียวแหลมหรือมน
ดอก ดอกเล็ก ออกเป็นช่อใหญ่ ยาว 10 -30 ซม. มีขนบางๆ ดอกตูมรูปไข่ ยาว
3 -4 ซม.
ผล ผลเป็นฝัก รูปไข่ กว้าง 10 มม. ยาว 3 - 4 มม. ตามผิวมีขนละเอียดประปราย
เม็ดรูปมน ขนาด 6 x 9 มม. มริ้วตามยาวของเมล็ด
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ท้องที่ที่ขึ้น ขึ้นอยู่หางๆ กัน ในป่าเบญจพรรณชื้น และป่าดงดิบแล้ง ทั่ว
ไป เว้นแต่ทางภาคเหนือ มีมากทางภาคตะวันออก และตะวันออกเฉียง
เหนือ

ตะเคียนทอง
ชื่อพื้นเมือง จะเคียน ( ภาคเหนือ ) ตะเคียน ตะเคียงใหญ่ ( ภาคกลาง ) เคียน ( ภาคใต้ )
แคน ( ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ) โกกี้ ( กะเรียง เชียงใหม่ ) จูเค้ โซเก ( กะ
เรียง กาญจนบุรี ) ไพร ( ละว้า เชียงใหม่ )
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hopea odorata Roxb
ชื่อวงศ์ DIPTEROCARPACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ต้น สูงถึง 40 ม. เรือนยอดเป็นพุ่มรูปกรวย หรือทรงเจดีย์ต่ำ ลำต้น
เปลา ตรง เปลือกสีน้ำตาลคล้ำ แตกสะเก็ด บางครั้งตกชันสีขาวเปลือกใน
สี เหลือง
ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปไข่แกมรูปใบหอก หรือรูปใบหอก กว้าง 3 –
7.5 ซม. ยาว 10 - 16 ซม. ปลายใบเรียวแหลมโคนใบมนเบี้ยว เส้นแขนงใบ
9 - 11 (- 13 ) คู่ ปลายเส้นจรดขอบใบ
ดอก ดอกสีขาว หรือเหลืองอ่อน ๆ ออกเป็นช่อมากมายตามง่ามใบและปลายกิ่ง มี
กลิ่นหอม
ผล ผลรูปไข่ปลายแหลม มีปีกขนาดเดียวกัน 5 ปีก
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ท้องที่ที่ขึ้น ขึ้นอยู่ตามป่าดิบชื้น ตั้งแต่จังหวัดกาญจนบุรีลงไปสุดภาคใต้
ที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 50 - 600 เมตร

กระทังใบใหญ่



กระทังใบใหญ่


ชื่อพื้นเมือง -
ชื่อวิทยาศาสตร์ Litsea grandis
ชื่อวงศ์ LAURACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลำต้น เป็นไม้ต้นสูง 20-30 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทรงสูงถึงค่อนข้างกลม เปลือก
เรียบถึงแตกสะเก็ดสีน้ำตาลแกมเหลืองถึงน้ำตาลเทา เปลือกชั้นในสี
เหลืองแกมน้ำตาล กิ่งอ่อน ยอดอ่อน ก้านช่อดอก และก้าน
ใบ แผ่นใบกว้าง รูปรี ถึงรูปแกมรูปขอบขนาน กว้าง 6-15 ซม. ยาว 10-25 ซม.
ผิวใบ ด้านบนเกลี้ยง ยกเว้นเส้นใบ ด้านล่างมีขนคลุม ปลายใบมนถึงหยัก
เว้า โคนใบ มนถึงสอบกว้าง
ดอก ดอกเล็กสีเหลือง ออกเป็นกลุ่มตามง่ามใบและกิ่ง
ผล รูปไข่ กว้างประมาณ 1 ซม. ยาวประมาณ 1.5 ซม.
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
พบขึ้นในป่าที่ลุ่มและชายป่าพรุ บริเวณน้ำท่วมขังเป็นครั้งคราว ทางภาค
ใต้ของประเทศไทย ในต่างประเทศพบที่ พม่า อินโดนีเซีย และมาเลเซีย
ออกดอกระหว่างเดือน ธันวาคม-มีนาคม

โสกนำ


โสกน้ำ

ชื่อพื้นเมือง -
ชื่อวิทยาศาสตร์ Saraca indica
ชื่อวงศ์ LEGUMINOSAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ยืนต้น สูงถึง 20 เมตร
ใบ ก้านใบยาว 10-50 ซม. เกลี้ยง ใบย่อย 1-7 คู่ รูปไข่แกมรูปรีถึงรูปขอบขนาน
ขนาด 1.5-10x5-30 ซม. ปลายใบแหลมหรือป้าน จานใบกลม รูปหัวใจหรือ
รูปลิ่มใบเกลี้ยง ใบแก่สีน้ำตาล เส้นแขนงใบ 15-20คู่ ก้านใบย่อย ยาว 3-5
มม.

ดอก ช่อดอกเชิงหล่น เส้นผ่าศูนย์กลาง 3-15 ซม. ก้านชูดอกย่อยเส้นผ่าศูนย์กลาง
3 มม.ใบประดับ รูปไข่ถึงรูปกลม ขนาด 1.5-4.5 x 2-8 มม. ใบประดับย่อย
รูปไข่ถึงรูปขนานแกมรูปไข่ขนาด 1.5-4 x 3-8 มม.กางออก มักจะติด
ทน
หรือร่วงง่าย มีสีส้มก้านดอกย่อยยาว 10-25 ซม. กลีบเลี้ยง 4 กลีบ รูปขอบ
ขนานแกมรูปไข่ ขนาด 2-7 x 5-12 มม. ปลายกลีบป้านหรือมน สีแดง
เรือๆ อมส้ม
ผล ก้านผลยาว 5 มม. รูปกลม รูปหอก แกมขอบขนาน ขนาด 2-6 x 6-25 ซม.
ที่ปลายผลมีจงอย ส่วนฐานรูปลิ่ม หรือกลม
ลักษณะทางนิเวศวิทยา

สิงโตก้ามปูแดง


สิงโตก้ามปูแดง
ชื่ออื่นๆ สิงโตก้ามกาง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Bulbophyllum patens King ex Hook.f.
ชื่อวงศ์ ORCHIDACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เป็นกล้วยไม้ขนาดกลาง หัวรูปรี ขนาด 2-2.5 x 1.5-2 เซนติเมตร มีขนเป็นเส้นยาวรอบข้อและโคนหัว
ใบ ใบรูปรี มี 1 ใบ ขนาด 10-15 x 2.5-3 เ วนติเมตร ปลายมน ยอดเว้าเล็กน้อย
ดอก ดอกเดี่ยว กว้าง 3 เซนติเมตร สีม่วงเข้ม เมื่อบานเต็มที่กลีบเลี้ยงคู่ข้างกางออกจากกันอย่างเด่นชัด กลีบดอกเล็กกว่ากลีบเลี้ยงมาก กลีบปากรูปแถบอ้วนและหนา แต่มีขนาดเล็กกว่ากลีบอื่นๆมาก ปลายกลีบมน โคนเสาเกสรยื่นออกมาเชื่อมกับโคนกลีบปาก
ผล -
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
พื้นที่ที่พบ ป่าดิบในภาคใต้

เอื้องคำหิน


เอื้องคำหิน
ชื่ออื่นๆ เอื้องบายศรี
ชื่อวิทยาศาสตร์ Eria lasiopetala (Willd.) Omerod
ชื่อวงศ์ ORCHIDACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
หัวรูปกลมรีหรืออ้วนป้อม อวบน้ำ สูง 4-7 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5-3.5 เซนติเมตร มักจะไม่มีกาบใบหุ้ม เรียงตัวบนเหง้าห่างกัน 2-10 เซนติเมตร
ใบ ใบรูปขอบขนานแกมรูปรี ขนาด 12-20 x 2.5-4 เซนติเมตร แผ่นใบค่อนข้างหนา
ดอก ช่อดอกเกิดจากแขนงที่จะเจริญเป็นหน่อใหม่ข้างหัวเดิม สูง 15-30 เซนติเมตร ดอกในช่อโปร่ง ก้านดอกยาว 1.5-2 เซนติเมตร ดอกขนาด 2-2.5 เซนติเมตร ก้านช่อ แกนช่อ ใบประดับ ก้านดอก และผิวกลีบด้านนอกมีขนยาวนุ่มสีขาว ดอกทยอยบานเป็นเวลานาน ออกดอกช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม
ผล -
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
พื้นที่ที่พบ พบในป่าเกือบทุกสภาพ ทั่วทุกภาค

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2551

หัวร้อยรู


หัวร้อยรู

ชื่อพื้นเมือง ปุ่มเป้า (ตราด) กระเช้าผีมด กาฝากหัวเสือ (ใต้) ดาลูปูตาลิมา (มลายู-
นราธิวาส)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hydnophyum formicarum
ชื่อวงศ์ RUBIACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้พุ่มอิงอาศัยบนเรือนยอดหรือคาคบบนต้นไม้อื่น ลำต้นสูง 30-60 ซม.
โคนต้นขยายใหญ่เป็นรูปกลมป้อน เป็นพู อวบน้ำ เส้นผ่าศูนย์กลาง 15-25
ซม. สีน้ำตาลเทา ภายในเป็นโพรงอาศัยของมด ลดเลี้ยวไปมา
ใบ เดี่ยว เรียงตรงข้ามกัน แผ่นใบหนา อวบน้ำ รูปรีแกมรูปขอบขนาน แกมรูป
ไข่กลับ ยาว 4-10 ซม. กว้าง 2-5 ซม. ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ปลายใบมนถึง
ทู่โคนใบสอบเส้นแขนงใบ 5-7 คู่ ไม่เด่นชัด ก้านใบยาว 2-5 มม. หูใบเล็ก
รูปไข่
ดอก ดอกเล็ก 4 กลีบ สีขาว ออกเป็นกระจุก 2-5 ดอก ตามง่ามใบ
ผล แก่สีแดง รูปรีถึงรูปไข่กลับ ยาว 5-7 มม. กว้าง 3-4 มม.
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ขึ้นในป่าดงดิบ ทั่วไป มีเขตการกระจายพันธุ์ทั่วทุกภาคของประเทศไทย
ในต่าง ประเทศพบที่ พม่า อินโดจีน มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ออกดอก
ระหว่าง เดือน กุมภาพันธ์-พฤษภาคม

นมแมว




นมแมว

ชื่อพื้นเมือง -
ชื่อวิทยาศาสตร์ Rauwenhoffia siamensis Scheff.
ชื่อวงศ์ ANNONACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น ไม้พุ่มไม้เถารอเลื้อยหรือไม้พุ่มขนาด 1 - 2 เมตร
ใบ ใบเป็นใบเดี่ยวออกสลบกัน
ดอก
ดอกขนาด 1 - 2 เซนติเมตร เล็กกว่าดอกลำดวน กลีบแข็ง สีนวล มี 5 กลีบ
ส่งกลิ่นหอมเวลาเย็นละกลางคืน
ผล -
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
พบตามป่าเบญจพรรณ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดหรือตอน

มันปู




มันปู

ชื่อพื้นเมือง นกนอนทะเล (นราธิวาส)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Glochidion littorale
ชื่อวงศ์ EUPHRBIACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้พุ่ม สูง 2-3 เมตร ปลายกิ่งห้อยลง
ใบ เดี่ยว เรียงสลับสองข้างของกิ่ง แผ่นใบรูปรี ถึงรูปไข่กลับ ยาว 5-10 ซม.
กว้าง 4-5.5 ซม. ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ปลายใบมน โคนใบสอบ เส้น
แขนงใบ 5-7 คู่ ก้านใบยาว 3-5 มม.
ดอ เล็กสีเขียวอ่อน แยกเพศอยู่ต้นเดียวกัน ออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ กลีบเลี้ยง
6 กลีบ ไม่มีกลีบดอก
ผล แก่สีชมพูถึงแดง กลมแป้น สูง 1.2-1.5 ซม. กว้าง 1.5-2 ซม. มี 10-12 พู แตก
เมื่อแห้ง มี 10-12 เมล็ด เมล็ดเล็ก ค่อนข้างกลม มีเยื่อสีแดงหุ้ม ติดที่ปลาย
ของแกนผล
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ขึ้นในป่าน้ำกร่อย และบริเวณชายป่าพรุ มีเขตการกระจายพันธุ์ทางภาคใต้
ของประเทศไทย ในต่างประเทศพบที่ อินเดีย ศรีลังกา เวียดนมใต้ และมา
เลเซีย ออก ดอกระหว่างเดือน มีนาคม-ตุลาคม

ช้างให้


ช้างให้

ชื่อพื้นเมือง อาปออาปอ (มลายู-นราธิวาส)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Neesia malayana
ชื่อวงศ์ BOMBACACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ยืนต้น สูง 40-50 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทรงสูงถึงค่อนข้างกลม โคน
ต้นพูพอนแผ่กว้าง สูง 2-3 เมตร ลำต้นเหนอพูพอนกลม เปลาตรง เปลือกสี
น้ำตาลเข้มเรียบเมื่อต้นยังเล็ก หรือแตกเป็นทางยาวเมื่อต้นใหญ่ เปลือกชั้น
ในสีชมพูแก่ถึงแดงเข้ม รอบๆ โคนต้นมีรากหายใจขนาดใหญ่โค้งคล้าย
สะพานโผล่ข้นทั่วไป ยอดอ่อน มีหูใบขนาดใหญ่ห่อหุ้ม แต่จะหลุดร่วงไป
ก่อนที่ใบจะเจริญเต็มที่ กิ่งอ่อน ใบอ่อน และช่อดอก มีขนรูปดาว แต่จะ
หลุดร่วงไปในเวลาต่อมา
ใบ เดี่ยว เรียงเวียนสลับ แผ่นใบรูปรี หรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน ยาว 10-20
ซม. กว้าง 8
-12 ซม. ผิวใบเกลี้ยงหรือมีขนเล็กน้อย ปลายใบมนหรือหยัก
เว้า โคนใบมนทู่หรือเว้าเล็กน้อย เส้นแขนงใบ 12-18 คู่ ก้านใบยาว 5-10
ซม.
ดอก สีชมพู ออกเป็นช่อสั้นๆ ตามกิ่งและตามง่ามใบ แต่ละดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง
1.5-2 ซม. กลีบเลี้ยงเป็นถุงคล้ายโคมไพแป้นๆ มีสะเก็ดเล็กๆ รูปดาว สีน้ำ
ตาลเทาเป็นมัน ปกคลุม
ผล รูปรี มีพูตามยาว 5 พู ยาว 10-15 ซม. กว้าง 8-10 ซม. ผิวนอกเป็นตุ่มหนาม
สั้นๆ เมื่อแก่สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ แตกออกตามรอยประสานผนัง ภายในผล
มีขนสีน้ำตาลอ่อน ใสเป็นมัน แข็ง กรอบ และคมมาก เมล็ดค่อนข้างแบน
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ขึ้นในป่าพรุ มีเขตการกระจายพันธุ์ทางภาคใต้ของประเทศไทย ในต่าง
ประเทศพบที่ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ออกดอกระหว่างเดือน กรกฎาคม

นางแดง


นางแดง

ชื่อพื้นเมือง ปอขี้แฮด
ชื่อวิทยาศาสตร์ Mitrephora maingayi
ชื่อวงศ์ ANNONACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ต้น สูง 20-30 เมตร ลำต้นเปลาตรง โคนต้นเป็นพูพอน เปลือกสีดำ
แตกกิ่งจำนวนมากในระดับสูงเป็นพุ่มกลม กิ่งอ่อนสีดำ และมีขนอ่อนหนา
แน่น เนื้อไม้ค่อนข้างเหนียว
ใบ รูปขอบขนานแกมรูปไข่ กว้าง 4-6.5 ซม. ยาว 14-20 ซม. โคนใบมนเบี้ยว
ปลายใบเรียวแหลม ใบหนา แข็ง ใบด้านบนเรียบเป็นมัน ใบด้านล่างมีขน
สากมือ เส้นแขนงใบมี 13-15 คู่ ก้านใบยาว 4-7 มม.
ดอก ออกตรงข้ามใบเป็นกระจุก 3-9 ดอก ดอกสีเหลืองเข้ม มีลายประสีม่วงเข้ม
ตามความยาวของกลีบ มีกลิ่งหอมอ่อนๆ ก้านดอกยาว 2 ซม. มีใบประดับ
ขนาดเล็กอยู่ที่กลางก้านดอก กลีบเลี้ยงกว้างและยาว 4-5 มม. กลีบดอกเรียง
เป็น 2 ชั้น กลีบชั้นอกรูปรี กว้าง 1.5 ซม. ยาว 3 ซม. ขอบกลีบเป็นคลื่นมาก
กลีบชั้นในรูปช้อน โคน กลีบเรียวแคบ ปลายกลีบขยายใหญ่ และบรรจบ
กันเป็นรูปกระเช้า เมื่อดอกบานมีเส้นผ่า
ศูนย์กลาง 3.5-4 ซม.
ผล ผลกลุ่ม ก้านช่อผลยาว 2 ซม. มี 6-10 ผล ก้านผลย่อยยาว 1-2 ซม. ผลกลมรี
ยาว 1.5-2 ซม. เมื่อแก่สีเหลืองอมเขียว มี 10-12 เมล็ด ออกดอกเดือน
กุมภาพันธ์
ถึงมีนาคม
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ขึ้นกระจายในป่าดิบแล้งทางภาคเหนือที่ระดับความ สูง 300-700 เมตร

โสกเขา



โสกเขา

ชื่อพื้นเมือง -
ชื่อวิทยาศาสตร์ Saraca declinata
ชื่อวงศ์ LEGUMINOSAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ยืนต้น สูงถึง 10 เมตร
ใบ ก้านใบยาว 15-50 ซม. เกลี้ยง ใบย่อย 3-7 คู่ ใบย่อยรูปไข่ถึงขอบขนาน ปลาย
ใบเรียวแหลมหรือกลม ฐานใบรูปลิ่มถึงกลม ใบแก่สีซีดหรือสีเขียวแกมน้ำ
ตาล เส้นแขนงใบ 8-10 คู่ โค้งจรดขอบใบ ก้านใบย่อยยาว 3-10 มม.
ดอก ช่อดอกเชิงหลั่นเส้นผ่าศูนย์กลาง
10-20 ซม. ก้านชูช่อดอกย่อย เส้นผ่าศูนย์
กลางประมาณ 3 มม. มีขนนุ่ม ใบประดับรูปแหลมหรือรูปไข่ ขนาด 2-7 x 3-
12 มม.ร่วงง่ายหรือติดทน ก้านดอกย่อยยาว 20-35 มม. กลีบเลี้ยง 4 กลีบ รูป
กลมหรือไข่กลับขนาด 3-6 x 6-14 มม.สีแดงเรือๆ
ผล ก้านผลยาว 1.5-2 ซม. เป็นจะงอย
สั้นๆ
ลักษณะทางนิเวศวิทยา

ขนุนป่า



ขนุนป่า

ชื่อพื้นเมือง ขนุนป่า ( ภาคใต้ )
ชื่อวิทยาศาสตร์ Artocarpus rigidus
ชื่อวงศ์ MORACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น เป็นไม้ต้น สูงถึง 30 ม.เรือนยอดเป็นพุ่มทรงสูง ถึงค่อนข้างกลม เปลือก
ต้นสีน้ำตาลแดงถึงเทาคล้ำ กิ่งอ่อนมีรอยแผลเป็นของหูใบรอบกิ่ง มีขนสี
น้ำตาลปกคลุม
ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรีแกมรูไข่กลับกว้าง 10-13ซม. ยาว 19-25
ซม. ปลายใบแหลม หรือมน ขอบใบเรียบ ยกเว้นต้นอ่อนที่ขอบใบเว้าลึก
ผิวใบมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน เส้นแขนงใบ 6-11 คู่ ก้านใบยาว 1.7-2 ซม.
มีขนปกคลุกหนาแน่น
ดอก เล็ก แยกเพศ ออกอัดรวมกันแน่นบนช่อดอก ช่อดอกเพศผู้เป็นรูปทรง
กระบอกแกมรูปไข่กลับ ยาวถึง 3
ซม. ช่อดอกเพศเมียรูปทรงกลม ขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลาง 10-15 ซม
ผล เป็นผลรวม ค่อนข้างกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 10-15 ซม. มีหนามยาวแหลม
โดยรอบ เม็ดมีเยื่อสีเหลือง
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
กระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้น ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้แลละภาคใต้ ที่ความ
สูงระดับน้ำทะเลปานกลางถึง 500 ม. ในต่างประเทศพบที่พม่า อินโดนี
เซียมาเลเซีย ภูมิภาคอินโดจีน ถึงบอร์เนียว

พริกแดง



พริกแดง

ชื่อพื้นเมือง -
ชื่อวิทยาศาสตร์ Orophea brandisii
ชื่อวงศ์ ANNONACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลำต้น เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 3-7 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางที่โคนลำต้น 4-8 ซม.
เรือน ยอดรูปกรวยคว่ำ แตกกางน้อย กิ่งยาวขนานกับพื้นดิน เปลือกสีเทา
ปนดำ กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล
ใบ รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ มีขนสีน้ำตาล กว้าง 4-7 ซม. ยาว 12-20 ซม.
โคนใบเว้า ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเป็นคลื่น ใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็น
มัน เส้นแขนงใบเป็นร่อง ใบด้านล่างสีอ่อนกว่า ใบบาง เหนียว
ดอก ออกเป็นช่อ 1-2 ดอก นอกซอกใบใ
กล้ปลาบยอด ดอกสีเขียวอมเหลือง
ห้อยลง ก้านดอกยาว 1.5-2 ซม. มีใบประดับดอก 1-2 แผ่น กลีบเลี้ยงรูปไข่
กลีบดอกเรียงเป็น 2 ชั้น ชั้นนอกรูปไข่ ชั้นในรูปช้อน โคนกลีบเรียวแคบ
ปลายกลีบแผ่กว้างและบรรจบกันเป็นรูปกระเช้า ขอบกลีบหนา
ผล ผลกลุ่ม ก้านช่อผลยาว 2 ซม. มีผลย่อย 2-3 ผล ไม่มีก้านผลย่อยผลรูป
เรียวยาว คล้ายพริก เปลือกเรียบ คอดตาม
รอยเมล็ด กว้าง 7 มิลลิเมตร
ยาว 3.5-4 ซม. ผล แก่สีแดง มี 2 เมล็ด
ลักษณะทางนิเวศวิทยา
ในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูง 200-500 เมตร

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ย่านดาโอ๊ะ" หรือใบไม้สีทอง

เป็นพืชมหัศจรรย์ที่มีกำมะหยี่ละเอียดนุ่มปกคลุมใบไม้สีทอง
เป็นพันธุ์ไม้เลื้อย มีลำต้นเป็นเถาขนาดใหญ่
เกาะเลื้อยพันขึ้นไปตามต้นไม้ใหญ่ได้สูงถึง ๓๐ เมตร
ใบมีขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายใบชงโค
ใบที่สมบูรณ์เต็มที่มีขนาด ๑๐ x ๑๘ เซนติเมตร
ผิวใบมีขนละเอียดคล้ายกำมะหยี่สีทองหรือสีเหลืองเคลือบเงิน
ใบมี ๒ ชนิดคือ กลุ่มใบสีเ
ขียว ทำหน้าที่สังเคราะห์แสง
และ กลุ่มใบสีทอง ใบกลุ่มสีทองนี้ ขณะเป็นใบอ่อนจะมีสีม่วง
เมื่อใบแก่ขึ้นจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองแดง
ระยะสุดท้ายจะเปลี่ยนเป็นสีเงิน แล้
วจึงทิ้ง
ใบ

บัวสาย

บัวสาย
( บานกลางคืน ) เป็นบัวที่ชาวบ้านนิยมเก็บสายบัวมาประกอบอาหาร บานตอนใกล้ค่ำและหุบตอนเช้า บางชนิดไม่หอม บางชนิดหอมอ่อนๆ บัวชนิดนี้มีก้านใบและก้านดอกยาวสามารถขึ้นอยู่ได้ในระดับน้ำลึกๆ ได้ พบเห็นได้ทั่วไปตามหนองบึงและในแหล่งน้ำธรรมชาติตามชนบท แตกกอง่ายและมีหัวอยู่ใต้ดิน ในฤดูแล้งที่น้ำแล้งก็โทรมไปแต่หัวยังฝังอยู่ในดิน เมื่อฤดูฝนมีน้ำมาก็จะแตกใบขึ้นมาใหม่เต็มหนองบึง ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาจนเกิดสีสันและพันธุ์ใหม่ขึ้นมาอีกหลายชนิด และยังจะมีพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นเรื่อย

บัวสาย

บัวสาย
( บานกลางคืน ) เป็นบัวที่ชาวบ้านนิยมเก็บสายบัวมาประกอบอาหาร บานตอนใกล้ค่ำและหุบตอนเช้า บางชนิดไม่หอม บางชนิดหอมอ่อนๆ บัวชนิดนี้มีก้านใบและก้านดอกยาวสามารถขึ้นอยู่ได้ในระดับน้ำลึกๆ ได้ พบเห็นได้ทั่วไปตามหนองบึงและในแหล่งน้ำธรรมชาติตามชนบท แตกกอง่ายและมีหัวอยู่ใต้ดิน ในฤดูแล้งที่น้ำแล้งก็โทรมไปแต่หัวยังฝังอยู่ในดิน เมื่อฤดูฝนมีน้ำมาก็จะแตกใบขึ้นมาใหม่เต็มหนองบึง ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาจนเกิดสีสันและพันธุ์ใหม่ขึ้นมาอีกหลายชนิด และยังจะมีพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นเรื่อย
เกิดวันเสาร์

จะมีต้นไม้พวกต้นกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด ดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว


เกิดวันศุกร์

ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน ส่วนดอกไม้ของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือ หรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอแลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง

ดอกไม้ประจำวันเกิดของวันพฤหัสบดี

เกิดวันพฤหัสบดี

ต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักงายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ

ดอกไม้ประจำวันเกิดของวันพุธ

เกิดวันพุธ
ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรัก สันติภาพ ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน
เกิดวันอังคาร
ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุข ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้

ดอกไม้ประจำวันเกิดของวันจันทร์

เกิดวันจันทร์

ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน

ดอกไม้ประจำวันเกิด

ดอกไม้ประจำวันเกิด

วันนี้เรามีดอกไม้ ประจำวันเกิดมาให้อ่านกันค่ะ … ใครเกิดวันไหน ตรงกับต้นไม้ หรือดอกไม้อะไรก็อย่าลืมไปหามาปลูกนะคะ เกิดวันอาทิตย์ ต้นไม้ประจำวันเกิด เป็นต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิด เป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์ คนเกิดวันนี้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือล้น เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

การป้องกันภูมิแพ้

การป้องกันภูมิแพ้สะเก็ดรังแคสัตว์
สารภูมิแพ้จากสัตว์เลี้ยงเช่น สุนัข แมว หนู นก สารสำคัญที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ได้แก่ โปรตีนที่หลั่งจากต่อมไขมันที่ผิวและรังแค ขน ปัสสาวะ อุจาระ น้ำลาย แมวจะให้สารภูมิแพ้มากกว่าสุนัขเนื่องจากแมวจะเลียขนมากกว่าสุนัข และอยู่ในบ้านมากกว่าสุนัข หนูที่นิยมเลี้ยงก็สามารถทำให้เกิดโรคภูมิแพ้สารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญคือปัสสาวะของหนูหาก การที่ได้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้จากสัตว์ต้องใช้เวลา 2-3 ปีจึงเกิดอาการ และเมื่อเลิกสัมผัส 6 เดือนอาการจึงจะดีขึ้น คุณแพ้คุณสารก่อภูมิแพ้จากสัตว์ควรที่จะป้องกันดังต่อไปนี้
วิธีดีที่สุดคือย้ายสัตว์และขนสัตว์ออกจากบริเวรบ้าน ถ้าไม่สามารถย้ายออกจากบ้านให้ เอาขนสัตว์ออกจากห้องนอน ปิดประตูห้องนอนติดเครื่องกรองอากาศก่อนที่อากาศจะเข้าห้อง ไม่ใช้พรมในห้องนอน
ห้ามเอาสัตว์เลี้ยงเข้าห้องนอน
แมวตัวเมียจะก่อให้เกิดภูมิแพ้น้อยกว่าตัวผู้ สำหรับสัตว์ตัวผู้ควรจะตอนเพื่อลดสารก่อภูมิแพ้
อาบน้ำให้สัตว์ทุกอาทิตย์
เลี้ยงปลาได้
Back
แพ้อากาศ อาการของโรคภูมิแพ้ การทดสอบภูมิแพ้ การรักษา ยาที่ใช้รักษาโรคภูมิแพแพ้แบบรุนแรง ลมพิษ แพ้ยาง แพ้อาหาร แพ้แมลง ผื่นแพ้จากการสัมผัส ตาอักเสบจากการแพ้

สามปอยหลวง

สามปอยหลวง
รายละเอียด
วันนี้นำกล้วยไม้ต้นหนึ่งที่นักกล้วยไม้หลายท่านรุ่นก่อนๆ บอกว่าเป็น สามปอยหลวง(V.denisoniana var.Luang) มีบางข้อมูลบอกว่า สามปอยหลวง ได้หายไปจากวงการกล้วยไม้ของไทยเกือบ 40 ปีแล้ว ต้นในภาพมีผู้นำภาพของผมไปให้ท่านปรมาจารย์กล้วยไม้ไทยที่มีชื่อเสียงดูท่านบอกกับผู้นำภาพไปให้ชมว่า ''ในภาพเป็นสามปอยหลวงที่หายไปนานแล้ว ไม่ทราบว่าไปเอาภาพเก่าๆ จากที่ไหนมาหรือ ?" ท่านยังบอกอีกว่าราคาเขาปัจจุบันคงจะประเมินค่าได้ยาก เพราะถือเป็นกล้วยไม้แห่งความศรัทธาถ้าสามปอยหลวง ถือเป็นกล้วยไม้แห่งความศรัทธาของชาวเชียงใหม่และชาวเหนือ มีความเชื่อว่าจะอยู่เฉพาะในมือของผู้ที่มีเชื้อสาย และเชื่อต่อว่าหากผู้ใดได้ครอบครองจะทำให้กิจการค้าขายเจริญก้าวหน้า และมั่งคั่ง เป็นข้อมูลที่ผมได้มาจากผมไปสอบถามท่านปรมาจารย์กล้วยไม้ไทยนั่นละครับ ก็เลยอยากทราบความเห็นจากหลายๆ ท่านว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่กับน้องท่านหนึ่ง ซึ่งก็คือคนเดียวกับที่นำภาพข้อมูลเหล่านี้และหากเพื่อนๆ ท่านใดมีข้อมูลสามปอยหลวงก็รบกวนแนะนำเข้ามาที่กระทู้นี้หน่อยนะครับ ผมเองอยากเก็บข้อมูลทั้งหมดมากๆ เลยนะค่ะ

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ต้นไม้ดูดสารพิษ

อากาศที่เราหายใจเข้าไปทุกวันนี้ประกอบด้วยละอองฝุ่นและสารเคมีมากมาย ซึ่งมนุษย์เราได้หายใจเข้าไปทุกวัน ความพยายามที่จะเอาชนะละอองฝุ่นและสารพิษในอากาศที่เรามองไม่เห็นนั้น คงไม่มีวิธีไหนที่จะดีไปกว่าการใช้วิธีธรรมชาติมาจัดการกับอากาศพิษเหล่านี้ เรารู้มานานแล้วว่าต้นไม้นั้นเปรียบเสมือนปอดของมนุษย์ที่คอยผลิตอ๊อกซิเจนออกมาและในขนะเดียวกันก็ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องกรองอากาศไปในตัวด้วย วิธีที่ดีที่สุดเพื่อทำให้คุณภาพของอากาศ ในที่อยู่อาศัยและที่ทำงาน เป็นอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาด คือการปลูกต้นไม้ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยต้นไม้ที่มีคุณสมบัติ ต้องการแสงน้อย และเจริญเติบโตได้ดีแม้ในอยู่ในอาคารที่อยู่อาศัย Dr. B.C Wolverton ผู้แต่งหนังสือ "How to grow fresh air" : เป็นผู้ที่ทำการทดลองใช้ต้นไม้พันธุ์ต่างๆ มาทำการทดลองเพื่อสร้างอากาศบริสุทธิ์ Dr. Wolvertonทำงานที่กองการบินอวกาศและการบินแห่งชาติ(NASA)ประมาณ20ปี และพัฒนาเทคโนโลยีที่น่าจะทำให้มนุษย์อยู่ภายในสถานที่ปิด ที่บนดวงจันทร์หรือดาวอังคารได้. การวิจัยบุกเบิกอันนี้ทำให้เขารู้สึกถึงได้ว่าการปลูกต้นไม้ (houseplants)คือเครื่องกรองอากาศที่รวดเร็วที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดในการลดมวลสารอันตรายอย่างเช่น ฟอร์มาลดีไฮด์, เบนซิน, xylene และแอมโมเนียที่อยู่ในอากาศ.ซึ่ง ทั้งหมดน่าจะทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยหลายอย่างเช่นโรคหอบ และกลุ่มอาการของโรคภูมิแพ้ต่างๆ. Wolverton ได้ทำการปลูกต้นไม้จำพวก Houseplants ไว้ในห้องซึ่งถูกปิดตาย แล้วพวกเขาก็ปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายต่างๆ เข้าไปในห้องปิดนั้น ซึ่งมีสารเคมีกว่าหนึ่งร้อยชนิดเลยทีเดียว. แล้วพวกเขาก็พบว่าต้นไม้เหล่านั้นสามารถดูดเอาสารเคมีนั้นออกจากอากาศได้ และหลังจากพวกเขาได้ทดลองซ้ำๆ กันอีกหลายครั้ง พวกเขาก็ค้นพบความลับที่ทำให้ชวนพิศวงเกี่ยวกับต้นไม้เหล่านั้น มันเหมือนกับเป็นปอดข้างหนึ่งของมนุษย์ ที่คอยช่วยดูดสารพิษต่างๆ ก่อนที่มนุษยจะสูดเอามันเข้าไป. ต้นไม้มีกระบวนการทำงาน 2 วิธี คือ. 1. ต้นไม้เหล่านั้นดูดสารพิษเหล่านั้นเอาไปเก็บไว้ที่ใบแล้วส่งสารพิษเหล่านั้นไปยังราก แล้วพวกมันก็จะเปลี่ยนสารพิษให้กลายเป็นอาหารของมัน. 2. ต้นไม้มีคายน้ำออกมาเป็นเสมือนปั้มซึ่งปล่อยไอน้ำออกมาเพื่อจับตัวกับสิ่งสกปรกต่างๆ ในอากาศ และเมื่อสารพิษเหล่านั้นจับตัวกันก็จะตกลงมายังพื้นรอบๆ ราก ของมันและเมื่อถึงเวลาที่มันซึมผ่านมายังดิน มันก็จะดูเอาสารพิษเหล่านั้นไปเป็นอาหาร

กระถางดอกไม้

กระถางต้นไม้ของเราเป็นกระถางปูน มีส่วนผสมของปูนซีเมนต์ ทำสีและเคลือบอย่างดี ให้ความสวยงาม เงางาม กระถางปูนซีเมนต์ทรงสี่เหลี่ยมสูงกำลงได้รับความนิยมอย่างมากในการนำมาใช้ปลูกต้นไม้ประดับ นอกจากนี้เรายังรับผลิตแบบตามความต้องการอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นวัสดุแบบไหน เราสามารถจัดทำได้ตามต้องการ ด้วยราคาที่ไม่แพงอย่างที่คิด.

อโกลนีมา

อโกลนีมา (Aglaonema) หรือที่เรียกอีกชื่อว่า เขียวหมื่นปี (chinese evergreen) เป็นต้นไม้ประดับที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมาช้านานแล้ว เพราะมีลักษณะใบที่สวยงาม ในช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีการผสมจนได้ใบสีแดงสดใส ก็ยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนัก แต่เมื่อเกิดลูกผสมที่ให้ใบสีแดงสดใส ก็ทำให้มีราคาแพงขึ้นตามลำดับ โดยต้นที่ได้รับรางวัล สวยๆ บางต้นมีราคากว่าล้านบาทเลยที่เดียว นอกจากจะมีสีสวยงามแล้ว ต้นอโกนีมา ยังเป็นพันธุ์ไม้ที่ดูดสารพิษได้เป็นอย่างดี และเป็นไม้มงคลที่รู้จักกันดีในหมู่นักสะสมพันธุ์ไม้เมืองไทย นอกจากจะขยายพันธุ์ได้ง่าย เพราะมีการแตกหน่อได้เองแล้ว ยังสามารถตัดยอดชำเพื่อให้ได้ต้นใหม่ และสามารถผสมกรสรเพื่อให้ได้สายพันธุ์ใหม่ๆ ได้อีก จึงนับว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว แต่ตอนี้มีข่าวดี ว่า ราคาของมันได้ลดลงเป็นอย่างมาก ลูกไม้ใหม่ๆ ที่ให้สีแดงเมื่อก่อนสนนราคาหลักหลายพันบาทถึงหลักหมื่นกลางๆ ตอนนี้ เหลือหลักร้อยนิดๆ ซึ่งเป็นราคาที่เบาสบายมากสำหรับนักสะสมของดีราคาถูก ดังนั้นสัปดาห์นี้ผมจึงแนะนำให้ต้นอโกลนีมา (สายพันธุ์เดียวกันอาจจะมีชื่อเรียกอีกหลายสิบชื่อ ) ซึ่งไปคัดเอาต้นสวยๆ ได้เลยตามตลาดต้นไม้ ถ้าอยู่แถบมีนบุรี ก็มีตลาดมีน (ตลาดเก่า) วันเสาร์อาทิตย์ ราคาถูกๆ หลักร้อย มีให้เลือกมากมาย รีบๆ ซื้อเก็บไว้นะครับ...รับรองไม่ผิดหวัง

อาหารบำรุงรอบเดือน

อาหารบำรุงรอบเดือน
สาวคนไหนที่มีรอบเดือนมาน้อย วันนี้มีอาหารบำรุงรอบเดือนมาฝากกัน...ประจำเดือนที่มาตามปกติแสดงถึงความสมบูรณ์ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ และเป็นการถ่ายเทเลือดเสียซึ่งเกิดจากการสลายตัวของเยื่อบุมดลูกและสร้างเยื่อบุมดลูกใหม่หมุนเวียน ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นปกติแต่ละเดือนที่ผู้หญิงต้องเสียเลือดเป็นจำนวนมากจากการมีรอบเดือน ร่างกายจะสูญเสียวิตามินและเกลือแร่ อย่างแคลเซียม ธาตุเหล็ก และสังกะสีด้วย ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียกว่าปกติ หรือมีอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อารมณ์เศร้าซึม โดยเฉพาะผู้หญิงที่สุขภาพไม่แข็งแรง ขาดการออกกำลังกาย หากมัวแต่อดอาหาร รักษาหุ่น อาจทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็น และเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง ร่างกายจะซูบซีด ผิวพรรณไม่มีเลือดฝาดในช่วงมีรอบเดือน การรับประทานอาหารที่สมดุลต่อร่างกายจะช่วยป้องกันอาการต่าง ๆ ได้โดยเน้นที่อาหารบำรุงเลือด เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง และ ผักใบสีเขียวจัด เช่น คะน้า กวางตุ้ง สาหร่าย เป็นต้น ซึ่งให้ธาตุเหล็ก วิตามินบี 6, บี 12, บีรวม และกรดโฟลิก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเลือดสูงสำหรับสตรีที่ประจำเดือนมาน้อยหรือมากผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมี ความผิดปกติ ในร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่สมบูรณ์ หรือมีเนื้อร้ายที่มดลูกก็ได้รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาดูแลรักษาสุขภาพกันด้วย.
จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่ “โวโน” ซุปครีมกึ่งสำเร็จรูปจัดทำเมื่อต้นปี 2551 พบว่าสาวส่วนใหญ่โทษว่าอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลง บางคนบอกว่างานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทั้งหมดนี้มีความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้สาวทั้งหลายน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเป็นเพราะพฤติกรรมการกินของพวกคุณเธอต่างหาก อาจารย์กฤษฎี โพธิทัต ที่ปรึกษาด้านโภชนาการและนักกำหนดอาหารชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ระบุว่า สาวจำนวนมากไม่ยอมกินอาหารเช้า จึงไปหิวตาลายเอาเมื่อสาย และมักจะคว้าขนมหรือของขบเคี้ยวกรุบกรอบทั้งหลายมาใส่ปาก พอตกบ่ายก็เริ่มง่วงและหิวอีกรอบ ก็ต้องพึ่งขนมช่วยให้ตาสว่างกันอีกยก ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนก็ยิ่งสนุก ยิ่งอร่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีถุงขนมก็กองเต็มโต๊ะ และส่วนเกินก็มากองอยู่ตามพุงเสียแล้วอันที่จริงอาหารว่างหรือของขบเคี้ยวระหว่างมื้อเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ ถ้าคุณรู้จักเลือกรับประทานของที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางสารอาหาร อาจารย์กฤษฎีแนะนำว่า “คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าการรับประทานอาหารระหว่างมื้อมีแต่โทษ และทำให้อ้วน แต่ที่จริงแล้วอาจเป็นตรงกันข้ามได้ “คนที่กินอาหารวันละหลายมื้อมีโอกาสอ้วนน้อยกว่าคนที่กินน้อยมื้อกว่าครึ่ง หลายคนอาจจะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่การวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารวันละ 4 มื้อเล็ก ๆ ขึ้นไป คือ อาหาร 3 มื้อ และอาหารว่าง 1 มื้อ มีโอกาสลดความอ้วนได้ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เพราะการรับประทานอาหารระหว่างมื้อที่มีคุณภาพ จะช่วยทำให้เราไม่หิวมากเกินไป จึงสามารถควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น อีกทั้งช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมเริ่มต้นใหม่ได้อย่างสดใส” อาจารย์กฤษฎีอธิบายว่า คนเราจะรู้สึกหิว ก็เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงถึงระดับหนึ่ง สมองจึงจะสั่งการว่า “หิว” และโดยธรรมชาติ เราก็จะคว้าของกินใส่ปากเมื่อหิว และหยุดกินเมื่อรู้สึกว่าอิ่มแต่ระบบการทำงานของร่างกายนั้น สมองจะรับรู้ได้ช้ากว่าที่เป็นจริง เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่สมองต้องใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจึงจะรับรู้ได้ว่า ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมาแล้ว ควรจะสั่งให้ร่างกายรู้สึก “อิ่ม” ได้แล้ว ดังนั้น เมื่อสมองบอกว่า “อิ่ม” และเรารู้สึก “อิ่ม” จึงเป็นเวลาที่ร่างกายของเราได้รับอาหารเกินความต้องการไปแล้วการจะป้องกันไม่ให้เรารับประทานอาหารเกินความจำเป็นหรือเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ คือ การเคี้ยวให้ละเอียด เคี้ยวนานๆ มีนักวิชาการหลายคนแนะนำว่าให้เคี้ยวคำละอย่างน้อย 15 ครั้งก่อนที่จะกลืน หรือพวกชีวจิตแนะนำว่าถ้าเคี้ยวได้ถึง 30 ครั้งจะเยี่ยมมาก เพราะทำให้เราใช้เวลานานขึ้นในการรับประทานอาหารแต่ละคำ และในแต่ละมื้อก็จะทำให้เรารับประทานอาหารได้น้อยลง แต่อิ่มทนดังนั้น การเลือกอาหารที่ต้องเคี้ยวเป็นของว่างระหว่างมื้อ จึงเป็นการเลือกรับประทานอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นพวกผลไม้ ซึ่งมีแป้งและไขมันต่ำอยู่แล้วแต่มีไฟเบอร์สูง หรือถ้าไม่ถูกรสนิยม จะเลือกขนมขบเคี้ยว หรือซุปสักหนึ่งถ้วย เพิ่มขนมปังกรอบพอให้เคี้ยวมันฟันเล่นก็ดีพอกัน เพียงแต่ต้องปรับพฤติกรรมการเคี้ยวให้ละเอียดขึ้น เคี้ยวช้าๆ ให้นานขึ้น ก็จะช่วยได้ที่สำคัญคือ อย่ารับประทานจนอิ่ม แค่รู้สึกว่าไม่หิวแล้ว ก็ให้หยุด หรือชะลอสปีดในการรับประทานลง แต่นี้ ก็ได้อาหารเพียงพอ และได้ความสุขจากการเคี้ยวไปด้วยในตัวอีกพฤติกรรมหนึ่งที่คุณสาวๆ ต้องระวัง ถ้ายังรักจะกินจุบจิบ แต่ไม่อยากให้ห่วงยางรอบพุงล้ำออกมาเกินหน้าเกินตา คือ การทำกิจกรรมอื่นๆ ไปพร้อมกับการทานอาหารว่าง เช่น กินไป คุยไป กินไปทำงานไป ก็อาจทำให้ลืมตัว เผลอกินมากเกินไปได้ แต่สำหรับสาวบางคนที่ห่วงคุยมากกว่าห่วงกิน คือคุยเพลินจนลืมกิน อันนี้ก็ไม่ว่ากัน เพราะสาวประเภทนี้ คงไม่มีปัญหาเรื่องกินกินขนาดปัญหานี้ก็แก้ได้ไม่ยาก โดยการจำกัดปริมาณอาหารว่างที่จะรับประทานตั้งแต่ต้น เช่น ขนมแห้งๆ เทใส่ถ้วยเล็กๆ พอรับประทานหมดก็หยุด และอย่าใจอ่อนคิดว่า อีกหน่อยน่า แหม ยังไม่ทันสะใจ ขออีกสัก 2 คำเถอะ ต้องมีวินัยกันหน่อย
หรืออาจจะลองเปลี่ยนมาเลือกของว่างที่เป็นซุป เช่น ซุปครีมพร้อมขนมปังกรอบ 1 ถ้วย เป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจเพราะสามารถเตรียมได้ง่าย แล้วซุปกึ่งสำเร็จรูปสมัยนี้มีให้เลือกหลายรสชาติตามที่ชอบได้ ส่วนใหญ่ก็แพ็คมาในขนาดกำลังกินพออิ่มได้ 1 คน รับประทานหมดซองก็อิ่มกำลังดีไม่เกินท้อง นอกจากจะได้สารอาหารและรสชาติแล้ว ยังมีน้ำที่ให้ความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แล้วขนมปังกรอบก็จะทำให้ได้เคี้ยว ได้รับความพึงพอใจจาการเคี้ยวด้วย และแน่นอน ถ้าเคี้ยวช้าๆ ก็จะ
ช่วยควบคุมปริมาณการรับประทานได้ดีขึ้นด้วยหลายคนอาจจะรู้สึกว่า ซุป ฟังดูไม่เหมือนเป็นอาหารระหว่างมื้อสักเท่าไร ดูจะจริงจังมากไปนิด แต่ถ้าคิดว่า คุณสาวๆ หลายคนไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ถ้าเราให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับอาหารระหว่างมื้อ โดยเฉพาะในช่วงเช้า ก็คงจะช่วยทดแทนได้ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยที่สุด การรับประทานซุปสักถ้วยตอน 10 โมงที่ใครๆ เลือกดื่มกาแฟกัน ก็จะทำให้ท้องไม่ว่างนานเกินไป อิ่มด้วย ได้รับสารอาหารด้วยท้ายที่สุดแล้ว พฤติกรรมการรับประทานของคุณต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพ คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน แต่แค่ปรับพฤติกรรมการรับประทาน และเลือกสิ่งที่รับประทาน ที่ยังคงทำให้คุณพอใจ เหมาะกับวิถีการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ของคุณเอง แค่นี้ ถึงชอบกินจุบจิบก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เพียงรู้จักเลือก คุณก็สามารถรักษาหุ่นสวยแบบสมัยเป็นนักศึกษาวัยทีนไว้ได้ แม้ว่างานจะยุ่งสักแค่ไหนหรือกาลเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตามอาหารระหว่างมื้อที่ดีซึ่งที่ปรึกษาด้านโภชนาการแนะนำ ได้แก่
ผลไม้ที่แป้งน้อย อย่างเช่น สับปะรด ชมพู่ ฝรั่ง
แซนวิชที่ทำจากขนมปังโฮลวีท
นมหรือนมถั่วเหลืองยูเอชที
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ โดยคุณสามารถทานร่วมกับผลไม้ หรือโรยซีเรียลลงไปด้วยก็ได้
ถั่วเปลือกแข็ง เช่น ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ เป็นต้น
ถั่วเมล็ดแห้งต้ม เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง
ซุปครีมในปริมาณที่อิ่มกำลังเหมาะ ที่มี
ขนมปังกรอบ เพื่อให้ได้รสชาติของการเคี้ยว
ผักสด/ต้มสุก จิ้มกับน้ำสลัดหรือเครื่องจิ้มอื่นๆ